วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

ออกบูธครั้งแรก

ไม่รู้เรียกว่าเป็นแรงดึงดูดหรือปล่าว
สิ่งที่เราคิด มันมักจะขยายออกเสมอ
เราคิดอย่างไรก็มักจะดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามา

เมื่อก่อนคือใช้ online ทำการตลาดอย่างเดียว
พอคิดจะลง offline บ้าง
ลงสู่โลกแห่งความเป็นจริง

การลงบูธครั้งแรก ยังไม่ทันเริ่ม
บูธที่สองเริ่มตามมา
แต่ยังไม่ตัดสินใจ
ขอลองบูธครั้งแรกก่อน ว่าจะไปได้สวยขนาดไหน
นี่เป็นเหมือนสนามซ้อม
ให้เราได้ทดลอง
และฝึกพัฒนาตนเองไปเรื่อย ๆ
เพื่อที่วันนึง
เราจะได้รู้ว่า ศักยภาพในตัวเรา มีมากแค่ไหน

ครั้งแรก เวลาในการเตรียมตัวมีค่อนข้างจำกัด
พยายามคิดหนทางให้มากที่สุดที่จะทำให้บูธครั้งนี้ออกมาดีที่สุด ในแบบของคนที่กำลังเริ่มต้น
เดินไปถามพี่บูธใกล้ๆ
"พี่คะ บูธพี่สวยจัง พี่ออกบูธบ่อยไหม เป็นยังไงบ้างหรอ นุ่นเพิ่งออกครั้งแรก ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ"
"พี่ออกทุกปี  คนเดินเยอะ" แล้วก็เล่าๆๆๆ ด้วยความเป็นมิตร
"จริงหรอคะพี่ แบบนี้แสดงว่าการออกบูธก็ได้ผลสิคะ"
"ใช่แล้ว ลองดูสิ แล้วจะชอบ"

ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
หลังจากเสร็จงาน จะมาสรุปผลและประเมินตนเอง
ว่าเตรียมงานและทำออกมาได้ผลงานที่น่าพอใจขนาดไหน
ตื่นเต้นเหมือนกันนะ ^^









วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อย่าจำกัดความสามารถของตัวเอง โลกใบนี้ยังมีอะไรให้เราค้นหาอีกเยอะ

อย่าจำกัดความสามารถของตัวเอง
โลกใบนี้ยังมีอะไรให้เราค้นหาอีกเยอะ
บางทีคนเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง
นอกจากจะลงมือทำ

ตอนออกจากดีเทลยา ช่วงที่ชีวิตเคว้งคว้าง
หันไปทางไหน ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี ที่จะให้เราทำเป็นธุรกิจได้
เชื่อว่าหลายคนคงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน
เป็นช่วงเวลาที่สับสน

หลายคนบอกให้มองหาสิ่งที่ตัวเองถนัด สิ่งที่เรียนมา
เราก็พยายามวิเคราะห์ คิดแล้วคิดอีก
ตัวเองเก่งอะไร ตอนนั้นยังไม่รู้
ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าทำได้หลายอย่าง
และลองทำให้หมดทุกอย่าง
ตอนนั้นยังหาไม่เจอ ก็เลยมองหา "สัมมนาฟรี"
ของดี และฟรีที่มันมีอยู่บนโลกนี้
เพียงแต่ ถ้าเค้าบอกไม่หมด เราก็ต้องเอาไปต่อยอดเองให้ได้

จังหวะดีกับที่ช่วงนั้นไปเจออบรมโครงการของ บสย. ร่วมกับ matichon academy
มี 5 ธุรกิจให้เลือก
1.การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์
2.ช่างซ่อมจักรยานเพื่อการเปิดร้าน
3.การจัดดอกไม้และการเปิดร้าน
4.โครงอะลูมิเนียม
5.ผ้าม่านและการเปิดร้าน

โอกาสเรียนรู้มาวางอยู่ตรงหน้า เป็นสัมมนาฟรีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
ลองถามตัวเองดูว่า จะเลือกเรียนอะไร
คิดว่าเรียนอันไหนแล้วจะไปทำเป็นอาชีพได้
พร้อมกับเหตุผลสำหรับตัวเอง
(โดยไม่ต้องไปฟังเสียงใคร ให้เลือกจากเหตุผลของตัวเองเท่านั้น)
 -----------------------------------------------------------------------------------------------
เราก็มานั่งคิดและวิเคราะห์
อืม..... 5 อย่างนี้ ไม่เคยทำมาก่อนเลยนะ
จะลงเรียนอันไหนดีล่ะ

อันแรก การปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์
โห....มีคนทำเยอะแยะเลย
แล้วปลูกพืช ปลูกผัก เราเองก็ไม่ถนัด แต่จริง ๆ เป็นหัวข้อที่สนใจมากเป็นอันดับหนึ่งเลยล่ะ

สอง..... การซ่อมจักรยาน
อันนี้ก็น่าสนนะ เทรนสุขภาพมาแรง
ทำตอนนี้ไว้เป็นอาชีพได้เลยนะเนี่ย
แต่งานช่าง จะเหมาะกับผู้หญิงไหม เราจะไหวไหม

สาม...การจัดดอกไม้
อันนี้ก็คนทำเยอะ เปิดสอนก็หลายที่
ก็สนใจ แต่เก็บไว้ก่อน

สี่...โครงอะลูมิเนียม
อันนี้อะไรเนี่ย น่าจะยากไปสำหรับเรานะ

แล้วก็มาถึงอันที่ 5
ผ้าม่านและการเปิดร้าน
ตอนนั้นมานั่งวิเคราะห์
เราไม่เคยรู้จักงานผ้าม่าน งานวอลเปเปอร์เลย
แต่ เอ.....มีคนเปิดสอนน้อยมาก
หาเรียนยากมาก
ทำไมกันนะ????

แล้วตลาด มันยังมีอยู่ไหม
มันทำเป็นอาชีพให้เราได้ไหมนะ

วันนึง ก็ได้คุยกับพี่ท่านหนึ่ง
ตอนนั้นเป็นช่วงจังหวะที่เราไปเปิดร้านเสื้อผ้าอยู่แถวสะพานใหม่
(เรื่องนี้จะเก็บไว้เล่าให้ฟังต่อไป)
เค้าเป็นลูกค้าที่ร้าน
บอกว่า ที่บ้านเค้าก็ทำอยู่ที่สกล
พ่อทำร้านผ้าม่านมาเป็นสิบ ๆ ปี
ตัวเค้าเองเป็นวิศวะ ไม่อยากทำร้านผ้าม่าน ไม่อยากสานต่อกิจการ
เราก็ถามว่า แล้ว มันเป็นยังไงบ้าง
"มันก็เหนื่อยนะ ต้องไปติดตั้ง ทำเอง"
"ทำเองได้เลยหรอคะ แล้วเราเป็นผู้หญิงทำได้ไหม"
"ได้สิ ติดตั้งไม่ยากหรอก จะให้ช่างติดก็ได้ แต่ถ้าเราติดเองก็ประหยัดค่าช่างไปได้"
ฟังดูน่าสนใจ
"งานนี้ไม่ค่อยมีใครเปิดสอนกันหรอก ส่วนมากจะสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่น เพราะเค้าจะหวงวิชากัน"
"จริงหรอกคะ"

ในใจคิด น่าสนใจมากแฮะ หาเรียนยากมาก
เรียนอันนี้แหละ

และแล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นก้าวแรกของธุรกิจที่ไม่เคยทำมาก่อน

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วันนี้ฉันมีร้านเป็นของตัวเองแล้ว

วันนี้ฉันมีร้านของตัวเองแล้ว
การเดินทางตามฝันครั้งนี้ ไม่ง่ายเลย
ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่ายดาย

หลายคนบอกวันนี้เรามาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จแล้ว
แต่เราเองคิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นมากกว่า


เรื่องราว....การเดินทาง
กว่าจะมาเป็นร้านในวันนี้
มีเรื่องราวมากมายที่อยากถ่ายทอด
ผ่านความยากลำบาก และการ "แลก"
ท้อไปก็หลายครั้ง
แต่วันนี้ฉันก็ยังทำมัน
และจะเป็นหนทางไปสู่อนาคตต่อไป

เรื่องราวต่าง ๆ จะได้รับการถ่ายทอดและบันทึก
ทุกความรู้สึก ลงบนบล็อกส่วนตัวแห่งนี้

เพื่อเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจสำหรับใครอีกหลายคน
ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
โดยที่ไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัว
ไม่ใช่สายงานที่เรียนมา
และด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงตัวเล็กเพียงคนเดียว
วันนี้เดินทางมาถึงจุดนี้ได้

เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ..... คอยติดตามตอนต่อไปนะคะ







วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อคิดก่อนเปิด fanpage จากประสบการณ์ตรง

ถ้าฉันเคยพลาดมาแล้ว ฉันก็ไม่อยากให้เพื่อนพลาดซ้ำ
เขียนเล่าไว้ให้เป็นประสบการณ์
ส่วนใครจะนำไปใช้ก็แล้วแต่น่ะ
เพราะเราเองก็ไม่ได้เก่ง แค่ค่อย ๆ เรียนรู้มาเรื่อย ๆ เหมือนกัน

1.ก่อนเปิด fanpage
อย่าลืมตอบคำถามสำคัญให้ได้ก่อนว่า "เป้าหมายลูกค้าเราเป็นใคร"
คำถามนี้ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย
จะทำธุรกิจต้องระบุกลุ่มลุกค้าเป้าหมายให้ชัด
ถ้าไม่ชัด....พังเอาได้ง่าย ๆ .... ถึงไปได้ก็ได้ไม่นาน
เราเคยมาแล้ว
จำได้ใช่ไหมที่เราเคยเปิดเพจเสื้อผ้าเป็นงานเสริม
ตอนนั้นทำแบบทุ่มเงินไปเยอะ
ทั้งตากล้อง นางแบบ สต๊อกของ

 แต่เราลืมกำหนดว่า เป้าหมายลูกค้าเราเป็นใครกันแน่
เราอยากได้ลูกค้าหมดทุกกลุ่ม
ซึ่งตอนหลังเพิ่งรู้ว่า
"ถ้าคุณอยากได้ลูกค้าทุกคน
จะไม่มีใครเป็นลูกค้าคุณเลยแม้แต่คนเดียว"
คำนี้เพิ่งมาเข้าใจได้ไม่นาน
เมื่อทิศทางการทำงานเราชัดเจน
เราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาผิดพลาดไปอย่างไร

2.ชื่อแฟนเพจ
**สำคัญมาก**
ให้ใช้ keyword ที่ลูกค้าจะค้นหาในการตั้งชื่อ
อย่า!!! ใช้ชื่อแบรนด์
เพราะโอกาสที่คุณจะได้ลูกค้ามีน้อยกว่า
เพราะไม่มีใครค้นหาด้วยแบรนด์ของคุณ ถ้าคุณยังไม่เป็นที่รู้จัก
ถ้าไม่เชื่อ....ลองดูก็ได้
เปิดขึ้นมา 2 เพจ
เพจนึงใช้ชื่อแบรนด์ อีกเพจใช้คีย์เวิร์ด
ดูว่า 2 เพจนี้ผลตอบรับต่างกันอย่างไร


3.อย่าให้เพื่อนไปกด like ถ้าเค้าไม่ใช่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนที่มีหลายคน invite มาแต่ไม่ได้ไปกด like
ประเด็น มันอยู่ตรงที่ว่า
เมื่อเราโพสอะไรลงไป คนที่มองเห็นจะมีเพียง 1% ของ fanpage
นอกจากว่าจะลงโฆษณา
เดี๋ยวนี้เฟสบุคไม่ได้ทำง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อนนะคะ
เรายังแอบเสียดายที่ไม่เก็บเพจเก่าไว้
แต่ตอนนี้ไม่เป็นไร เริ่มนับ 1 ใหม่หลายเพจ ด้วยแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น
แล้วถ้าคนที่ไปกด like ไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมาย มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
จำนวน like ไม่ได้สำคัญเท่าจำนวนลูกค้านะ
และสำคัญสุดๆ

***อย่าซื้อ like เด็ดขาด***

คนเริ่มทำเพจใหม่ ๆ แรก ๆ ก็คงท้อใช่ปะ อยากให้มีคนมา like เยอะๆ
เมื่อก่อนตอนไม่รู้เราก็เป็นและพลาดมาแล้วววว
เสียเงินเปล่าเลย
บอกได้คร่าว ๆ เท่านี้สำหรับคนที่จะเริ่มต้นนะคะ
วางแผนดี ๆ เดี๋ยวทำไปแล้วจะเสียกำลังใจ
เราสรุปมาสั้น ๆ ให้ได้ตามนี้น่ะ

เริ่มต้นธุรกิจอย่างไรดี?? ปัญหาของหลาย ๆ คน

ตอนนี้กิจการของฉันกำลังเติบโตขึ้นแต่ก่อนที่จะมีความรู้สึกแบบนี้
ฉันเคยมีความรู้สึกเคว้งคว้าง...ว่างเปล่า

จะทำอะไรดีน๊าาาา....
จะเริ่มต้นธุรกิจยังไงดี....
และเชื่อว่าหลาย ๆ คงเคยมีความรู้สึกไม่ต่างกัน

จุดเริ่มต้นของฉัน
เริ่มมาจาก....
การตกงานโดยไม่ได้ตั้งใจ
และไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน

...ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด
ฉันต้องอยู่ด้วยเงินเก็บของตัวเอง .... ให้ได้นานที่สุด
และช่วงเวลานี้เอง...ที่เป็นจุดพลิกผันชีวิตทุกอย่าง

ทั้ง...งาน.....และความรัก...
เรื่องความรัก ปล่อยมันไป....ไม่ใช่ประเด็น

แต่ประเด็นที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลาย ๆ คน คือ
เราจะเริ่มธุรกิจยังไงดี
หลายคนเริ่มจากผลิตสินค้ามาก่อน
โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สินค้าตัวนั้น จะมีคนซื้อหรือไม่
ฉัน...เคย....คิดอยากมีธุรกิจที่ไม่ต่างจากคนทั่วไป
เช่น....ร้านกาแฟ....ร้านเสื้อผ้า....ฯลฯ

และแล้วการเข้าสัมมนาก็ทำให้ความคิดฉันเปลี่ยนไป
ช่วงนั้น ความเครียดที่เกิดจากการมีแต่รายจ่าย...โดยไม่มีรายรับ
และไม่รู้ว่าเงินก้อนที่มีอยู่นั้นจะหมดลงไปเมื่อไหร่
มันเป็นช่วงที่ฉันต้องใช้เงินอย่างประหยัดและเห็นคุณค่าของทุกสิ่ง

การเข้าฟังสัมมนา ฟรี เป็นทางออกที่ดีมาก
ฉันเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรู้ที่จะติดตัวเรา
ฉะนั้น ... ไม่แปลกที่จะเห็นฉันเข้าฟังสัมมนาฟรีบ่อย ๆ 555
มีพักหลัง ๆ นี่แหละ ที่เข้าสัมมนาแบบซื้อบัตร
แต่ก่อน...ไม่เค้ยยย ไม่เคยเลย

และนั่นเอง.....มันก็ทำให้ฉันได้เห็นว่า
ของฟรี และ ดี ก็มีอยู่บนโลกใบนี้นะ
การฟังสัมมนาฟรีมันเป็นการเปิดโลกและมุมมองใหม่ให้กับฉันในมุมกว้าง
ในเวลานั้น....เป็นช่วงที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ
ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองชอบอะไรกันแน่
และเมื่อยิ่งได้เจอผู้คนมากขึ้น
ไม่น่าเชื่อว่า...หลายคนก็มีปัญหาแบบเดียวกัน
ถึงเพิ่งรู้ว่า...เราไม่ใช่คนแปลกสินะ 555

จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฉันได้พบกับคำว่า
"เมื่อศิษย์พร้อม....อาจารย์จะมา"
ฉันได้พบ...กับอาจารย์ที่ดีที่สุด

ทำไมถึงกล้าพูดว่า...อาจารย์ที่ดีที่สุด
เพราะหลังจากที่ฉันได้ฟังอาจารย์บรรยายในครั้งแรก
รู้เลยว่า นี่แหละ...คือสิ่งที่ฉันตามหา
การตลาดแบบนี้แหละ
ที่จะทำให้เราอยู่รอด
แม้ไม่มีเงินลงทุนเลย
ฉันไม่จำเป็นต้องมีเงินมากก็เริ่มธุรกิจของตัวเองได้

ยิ่งไปกว่านั้น
หลังจากที่ได้วิชามาแล้ว.......
ฉันก็ได้รู้อีกว่า...ไม่ว่าสินค้าอะไรก็ขายได้หากเรารู้วิธีการ
จากนั้นฉันตัดสินใจลงทะเบียนเรียนและลงมือทำ
ฉันก็ได้พบกับปัญหาต่อมาที่เป็นปัญหาน่าหมั่นไส้อีกแล้ว
นั่นคือ "มีออเดอร์เยอะมาก มีเงินมารออยู่ตรงหน้า
มีคนพร้อมจะเอาเงินมาให้ แต่.....ไม่มีสินค้า"

โห....นี่แหละๆๆๆๆ

แบบนี้สิ....จะขาดทุนได้ยังไง

....นี่มันพลิกทุกทฤษฎีที่ฉันเคยรู้มาเลยนะเนี่ย

ค่าลงทะเบียนนั้น แน่นอนว่า หลักหมื่น
แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับมา.......เกินกว่าหมื่นไปเยอะ
ฉันเคยแนะนำคอร์สนี้ให้กับเพื่อนหลายคน

หลายคนก็ไปลงทะเบียนเรียบร้อย
และอีกหลายคน ที่ยังลังเลด้วยค่าเรียนที่เค้าคิดว่าแพง

แต่จะถามว่า อะไรที่เรียกว่าแพง??

ถ้าค่าเรียนหลักหมื่นนั้นแพง
แล้วสิ่งที่เราต้องไปลองผิดลองถูกเองนั้น แพงกว่าหรือไม่

สิ่งมีค่ามากที่อาจารย์ได้ถ่ายทอด คือ knowhow
ที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล

เราไม่จำเป็นต้องลองผิดลองถูก
แต่มีคนนำสิ่งที่เค้าได้ลงมือทำแล้วสำเร็จมาบอกเรา
เราแค่ทำตาม เดินตามคนที่เค้าสำเร็จ
มันทำให้เราประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มากมายเลยนะ

สำหรับฉันเองที่บอกว่าคอร์สนี้เป็นคอร์สที่ดีมี่สุด
เพราะว่าสิ่งที่ยากที่สุดของธุรกิจ คือ ตอนเริ่มต้น

จริง ๆ นะ ตอนเริ่มต้น เป็นอะไรที่เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี
อะไรก็อยากทำไปหมด

หากมีการเรียนนอกตำราที่ไหนสักที่
ที่จะช่วยให้เราสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองได้จริงๆ
ฉันว่าคอร์สนี้คือคำตอบ

ของขวัญ

"ของขวัญ"

หลายคนคงนึกถึง "สิ่งของ"
ที่เราตั้งใจจะมอบให้คนที่รักในเทศกาลต่าง ๆ
ไม่ว่าเป็น ปีใหม่ วันเกิด วาเลน์ไทน์

แต่รู้ไหมว่า
ที่จริงแล้ว "คุณ" อาจเป็นของขวัญที่ดีที่สุด
สำหรับใครบางคน
การให้ของขวัญที่ดีที่สุด คือ.....
อย่าหายไปจากใครบางคนที่ครั้งหนึ่ง
เราต่างก็เคยเห็นความสำคัญของกันและกัน

วันนึงที่คุณหายไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ถึงแม้จะหาของขวัญสักกี่ชิ้น หรือกี่เทศกาล
ก็คงไม่สามารถแทนที่ความรักในใจ
ที่เค้ามีให้กับคุณ

วันนี้ลองย้อนกลับไปดูว่า
คุณลืมให้ของขวัญกับคนที่เค้าเห็นความสำคัญของคุณหรือเปล่า
มีบางชิ้นที่หล่นหายไประหว่างทางบ้างหรือไม่
เพื่อนเก่า คนคุ้นเคยเก่า มิตรภาพเก่า
ยังอยู่ดีหรือไม่

"คุณคือของขวัญที่ดีที่สุด" ของใครบางคนเสมอ
และคุณเองก็คงมีคนสำคัญที่เป็น "ของขวัญ"
ที่มีค่าที่สุดสำหรับคุณเช่นกัน

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน
ไม่ได้ไถ่ถามความเป็นไปของกันและกัน
เราปล่อยให้เวลาหมุนไป
พร้อมกับนำมิตรภาพดีๆห่างออกไปด้วยเหมือนกัน

อย่าลืม "ของขวัญ" ที่เคยตั้งอยู่ที่เดิมบ้างนะ
แค่คำทักทายสั้น ๆ ก็อาจทำให้เรา
หวนคิดถึงมิตรภาพเก่าๆ ที่เลือนหายไปกลับมาได้นะ